camp boy วัยระเริง อุ้ยแม่เจ้า! อย่าไปยุ่งกับมัน พวกเนี้ย ....... นี่คือเสียงลือเสียงเล่าอ้าง โจ๊ก บอล เอ็ดดี้ เบียร์ (มะเดี่ยวไม่เกี่ยวมะเดี่ยวเด็กดี) เสียงลือเสียงเล่าอ้าง ในความเสเพลของพวกเขา CAMP BOY ถึงยุคที่ใช้คำว่าจัดเต็มจริงๆ เป็นช่วงที่เราย้ายมาจาก ค่ายพ่อขุนกันใหม่ๆ ความห้าวนี่ต้องยอมรับว่าเกินร้อย โดยเฉพาะ เอ็ดดี้ (คนที่3จากซ้าย) ด้วยเอกลักษณ์ ทรงผม ไฟโด้ ดีโด้ของแกไม่ต้องพูดถึงสาวๆ ติดกันเกียวกราว เป็นช่วงที่แกสมหวังในความรักมากที่สุดเท่าที่ผมจำได้ เมื่อก่อนแกไม่ใช่คนใจน้อยเหมือนสมัยนี้ ใจแกใหญ่เท่าภูเขาเหล่ากา ถ้าเปรียบเทียบนิสัยและความใจใหญ่ของแก ให้เปรียบเทียนที่ เจ้าบีน้องชายของเขา สมัยนั้นอาจจะเป็น ฤดูหาคู่ของพวกเรา เรียนไม่ยุ่งมุ่งแต่รัก ภาหนะที่ อาดดี้ใช้แว้น ปิดแซงชาวบ้าน จนหางปายาว 12 นิ้ว ขาดไม่เว้นแต่ละวัน คือ เจ้าคริสตันชมพู ลงเสตอ 28 ออกตัวช้ามากๆ ปล่อยให้คู่แข่งนำไปก่อนทุกครั้ง แต่แล้วเจ้าเสตอ 28 ของเขาก็รอรอบและแซงคู่แข่งในเสาไฟสุดท้ายจนนับครั้งไม่ท้วน วัยรุ่น เด็กเล็ก ผู้ใหญ่ ในค่ายต่างร้องยี้ เมื่อเห็นพวกเรา ด้วยพฤติกรรมที่เสเพล ลักเล็กขโมยน้อย ต่อยนายสิบใหม่ ต่อยลูกทหารด้วยกันเอง ยาเสพติด หลายครั้งที่ทำให้ชีวิตของพวกเราต้องตกอยู่ในวังวนอบายมุข วังวนของความสับสนวุ่นวายใจ กี่ครั้งที่พ่อแม่ต้องเสียน้ำตา กี่ครั้งที่ พ่อ ต้องถูกผู้บังคับบัญชาเรียกพบ กี่ครั้งที่กิ่งโป๊ยเซียนบ้านคุณจะต้องหาย ครั้งหนึ่ง พวกเรามีเรื่องกับเด็กในหมู่บ้าน พวกเรานี่แหละพร้อมจะต่อสู้ด้วยกันกำปั้นต่อกำปั้น สุดท้ายความน่าเกรงขามของคนที่เรียกว่าเถื่อนกว่า โหดกว่า พร้อมจะฆ่าคุณได้ตลอดเวลา สั่งสอนเราซะจนบางครั้งเราคิดว่าเราเป็นเสือ แต่แท้จริงแล้ว เราแค่แมวตัวเล็กๆหัดฝนเล็บ เมื่อต้องเปรียบเทียบกับโลกกว้าง เรื่องมีอยู่ว่าวันนั้นมีการท้า ต่อยกันระหว่าง เบียร์ กับ เด็กในหมู่บ้าน 6โมงเวลานัดหมาย หน้าน้ำตกธารทิพย์พวกเราไปกันทั้งหมด 4 คน โจ๊ก บอล ดี้ เบียร์ เราไม่รอนานเสียงรถมอร์เตอร์ไซ์ร่วม 20 คัน เสียงดังคำรามมาจากหมู่บ้าน เหมือนเสียงรังผึ้งแตกทำให้เราใจแป๊วเหมือนกัน แต่เราก็ยังยืนหยัดพร้อมหน้ากัน 4 คน เผชิญน่ากับเด็กหมู่บ้านไม่ต่ำกว่า 50 คน หลายคนพกมีด หลายคนพกปืน เรามีเพียงสนับมือ มีดพกเล็กๆ จะไหมหรอว๊ะ แต่แล้วเรื่องราวจบลงตรงที่เราต้องเข้าไปตามรุ่นใหญ่ของพวกเราออกมาอีกทีถึงเป็นการต่อยตัว/ตัวแต่เราก็ยังไม่ไว้ใจพวกมัน มันพร้อมจะลุมเราได้เสมอ ในเมื่อเราขอเข้าไปตามรุ่นใหญ่พวกมันดูท่าทีถอยทัพเหมือนกัน จนสุดท้ายพวกมันถอยทัพเพราะเกรงกลัวรุ่นใหญ่ของพวกเราพอสมควร วันนั้นเป็นอันว่าไม่ใครต้องเจ็บตัว หรือถูกลูกปืนยิงตาย นั่นคือความสามัคคีที่เรามีและยืนหยัดเคียงข้างกัน ถึงแม้จะขาสั่น ปากสั่นจนพูดไม่ออกแต่เรายังยืนอยู่รอจมตืนด้วยกัน....... ใครหรอรุ่นใหญ่ (จ่าไหน) หรืออาไหน ไม่มีใครไม่รู้จักแก ขอให้ได้บอก "ใครทำหลานกู ๆๆๆๆๆ" นี่คือคำพูดเอกลักษณ์ของแกพวกเรายกย่องแกมาก สมัยนี้แกก็ยังเหมือนเดิม คอนเฟริม แต่เรื่องราวทั้งหมดจงเชื่อเถอะว่า พ่อแม่เราสั่งสอนเรามาดีแล้ว แต่ด้วยความห้าวหาญของวัยรุ่นทำให้พวกเรา ต้องเผชิญมันเพราะสังคมสมัยก่อนอยู่ด้วย พละกำลังกำปั้น คมมีด และจิตใจที่หยาบกระด้าง... สุดท้ายนี้ เมื่อเห็นรูปแล้วมองย้อนอดีตไป ชั่งน่าขอบใจประสบการณ์ ที่ครั้งหนึ่งคุณอาจจะหาไม่ได้อีกแล้ว เพราะวัยรุ่นใจหมาเกิดมาเป็นได้แค่ครั้งเดียว คิดถึงอดีตเน๊ะ โจ็ก บอล ดี้ เบียร์.... |
0 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น