"กิ่งไม่1กิ่งสามารถหักคนเดียวได้ แต่ถ้ากิ่งไม้หลายๆกิ่งมารวมกัน ไม่สามารถหักคนเดียวได้ ต้องช่วยกัน''
นั่นคือคำพูดของ ดญ.สุนทรี ไชยวงศ์(แวว) ตอนอายุ10 กว่าขวบ ปัจุบันอายุของเธอน่าจะ 34 ปีเข้าให้แล้ว สาวเหนือ ผิวขาว น่าตาจิ้มลิ้ม บุคคลิกนิสัยออกไปทางเรียบร้อยคนนี้แหละ ที่เป็นคนใช้ประโยคดังกล่าวมาสอนความสามัคคีให้พวกเรา ก่อนจะเขียนเรื่องนี้พยายามมองรูป พี่สาว คนนี้อยู่นานว่าจะเขียนเรื่องอะไรดีแต่ดันนึกคำพูดคำนี้ขึ้นมาได้ รู้สึกว่าจะเป็นการซ้อมวิ่ง พลัด หรือวิ่งเปรี้ยว เพื่อเตรียมตัวแข่ง งานวันเด็กที่กำลังจะมาถึง พี่น้องเราหลายคนคงเคยเข้าร่วมการแข่งขันมาบ้างลองนึกดูดีๆ
พี่สาวถือเป็นลูกทหารรุ่นแรกๆของกลุ่ม camp boy-girl เรื่องอายุอานามและประสบการณ์การใช้ชีวิตไม่ต้องพูดถึง ที่ว่าไม่ต้องพูดถึงก็คือว่า ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย ถึงแม้สมัยก่อนจะทำงานทำการอยู่ในกรุงเทพด้วยกันแต่ก็ไม่เคยมีการติดต่อพบเจอกันซักครั้ง
แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นตัวตนของเขาคือการบริหารและการเอาใจใส่ในการดูแลโลกส่วนตัวที่เขามีอยู่ เพราะฉนั้นหากพวกเรามีกิจกรรม หรืองานสังสรรค์ร่วมกัน จงเตรียมพบกับปัญหาหรือหงุดหงิดเสียอารมณ์กับการเชื้อเชิญผู้หญิงคนนี้ออกมาร่วมกิจกรรม เพราะหากเขายังมีโลกส่วนตัวที่เขายังจัดการกับมันไม่สำเร็จเขาจะไม่มีวันออกจากโลกส่วนตัวตรงนั้นเด็ดขาด อีกทั้งสไตร์ชีวิตที่ค่อนข้างปรับเปลี่ยนรูปแบบเป็นว่าเล่น หลายปีก่อนที่เธอกลับมาเยี่ยมบ้านที่เพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นวันที่ผมกับมาเยี่ยมบ้านเหมือนกัน ผมพบเห็นเธอในชุดนุ่งขาวห่มขาว ดูเคร่งขลึมกับชีวิตอย่างบอกไม่ถูก แต่ไม่ให้เป็นการละลาบละล้วงชีวิตส่วนตัวเขามากเกินไปผมจึงไม่ได้ถามอะไรมาก
มาถึงเรื่องราวในสมัยวัยรุ่นกันบ้างดีกว่า ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนน๊ะครับ ว่าไม่รู้ตอนนี้พี่แววพี่สาวของผมเขาทำอะไรอยู่ที่ไหน ที่ต้องออกตัวไม่ได้กลัวเรื่องอะไรหรอกครับ แต่ที่กลัวอย่างเดียวคือถ้าพี่เขาบวชชีอยู่แล้วผมจะไปเขียนเรื่องราวเผาแกก็คงไม่ได้เพราะถือว่าเขาละทางโลกไปแล้ว เพราะฉนั้นหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเธอคงไม่ได้เป็น แม่ชี อยู่ในตอนนี้ ไม่งั้นผมอาจจะปาบเพียงเพราะเขียนบล็อก เล่าเรื่องให้ทุกๆคนอ่าน
ตามภาษาวัยรุ่น วัยรุ่นมุ่งเลือกคู่ เป็นธรรมดาที่ในกลุ่มของพวกเราจะมีการ ปิ๊งปั็งกันเองภายในกลุ่มบ้าง ถึงจะเกิดและคลานตามกันมาก็ตาม แต่ส่วนมากมักจะเป็นรักกันข้างเดียวซะมากกว่า เช่นเดียวกับท่านผู้นำของกลุ่มที่ต้องการให้จัดทำบล็อกนี้ขึ้น พี่โจ๊ก แววตาเป็นประกายของหนุ่มร่างอ้วน ชอบมองพี่สาวแววซะเหลือเกิน พี่โจ๊กแกก็ดีน๊ะ แกเป็นคนพูดตรงๆ แกบอกพี่ แวว ไปหลายครั้งแล้วว่าชอบแต่คำตอบที่ได้รับมักตรงข้ามกับคำตอบที่แกอยากได้ยินเสมอ ''บ้าไอ้โจ๊ก เราเพื่อนกัน''
นั่นคือการปฎิเศษความรักกับ ท่านผู้นำของเรา มองถึงความเป็นไปได้ในสังคมลูกทหาร ที่โตด้วยกันมาโอกาสน้อยมากที่จะลงเลยใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน ผู้ใหญ่หลายท่านมักบอกไว้อย่างนั้น ไม่เพราะไร จีบกันไม่ติดก็ไม่เป็นไร ถือเอาว่าเป็นการฝึกฝนวิชาก็แล้วกัน แต่วิวัฒนาการมันเปลี่ยนไป รู้สึกว่ากลุ่มที่สืบทอด CAMP BOYต่อจากพวกเรา คือกลุ่ม ม้าซาวแปด ได้ข่าวมาว่ามีกิ๊ก กั๊กกันอยู่ 2 คู่น๊ะ รู้สึกฉายามันจะใช้คำว่าดำ เอสโซ่หรืออะไรนี่แหละ ถ้ามีโอกาสไปเพชรบูรณ์จะไปสอบถามความจริงด้วยตัวเองเลย ต่อเรื่องพี่โจ๊กในปัจจุบันพี่โจ๊กของพวกเราก็มีครอบครัวและมีลูกสาวที่น่ารักไปแล้ว
น่ารัก ตาหวานเอาการเลยทีเดียว แต่ตอนนี้เขียนไปเขียนมาพึ่งนึกได้ว่า กูจะทำให้พี่โจ๊กโดนภรรนาที่บ้านสวดยับหรือเปล่าว๊ะเนี่ย เกิดแฟนเขาอ่านเรื่องราวในบล็อกนี้แล้วหึงขึ้นมาจะทำอย่างไร ผมจะบอกว่าพี่ก็ช่วยตัวเองไปล๊ะกันผมมีน่าที่เขียนบล็อกผมก็เขียน และผมต้องถ่ายทอดเรื่องจริงไม่ใช่นั่งเทียนเขียนน๊ะพี่ ผมไปล๊ะ!
นี่แหละครับมิตรภาพตอนเด็ก ของพวกเราพอจะถ่ายทอดเรื่องราวของลูกทหารไว้ได้บ้างว่าเขาอยู่กันอย่างไร หรือเปล่าครับ
สุดท้ายไปสืบให้ที ว่า สุนทรี ไชยวงษ์ (พี่แวว) เขาบวชชีอยู่ที่ไหนหรือเปล่า คริๆ
ใครอยากมีเสื้อคู่ ครอบครัว เข้าไปดู
0 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น