M.Zawpad

กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ยังสืบทอดตำนานอยู่

ภาพประมาณปี 2527

กลุ่มคนยุคต้นๆ กับการท่องเที่ยวป่าแดง

มิตรภาพ

สิ่งสำคัญและเยียวหาหัวใจได้ดีคือมิตรภาพ

จำกันได้ไหม

ใครเป็นใครจำกันได้ไหมเอ่ย

จากใจผู้เขียน

มนุษย์คือสัตย์สังคม เพื่อน พี่ น้อง คือสังคมหนึ่งของมนุษย์ บล็อกบอกเล่าเรื่องราว ความเป็นอยู่ของสังคมลูกทหารที่เกิดและคลานตามกันมา ภายในรั้วรวดหนามที่ร้อมรอบจนเสมือนอยู่บ้านเดียวกันจินตนาการสร้างสรรค์นี้มีแรงบัลดาลใจมาจากกลุ่มบุคคลยุคต้นๆของกลุ่มซึ่งวันหนึ่ง เขากลับคิดถึงอดีตขึ้นมาจึงเริ่มขับเคลื่อนการรวมตัวและรวมกลุ่มคนในอดีต เพื่อรวบรวมบทความภาพถ่ายมานึกหวนวันวานในนามกลุ่ม"camp boy."กลุ่มoriginal ชื่อเดิม "เด็กร้อย ล.ว.8" แต่30กว่าปีให้หลังมลขลังของ camp boy ก็ไม่ได้ถูกลบเลือนไปจากสังคมยังมีเด็กรุ่นหลังที่สืบทอดต่อกันมาจนถึงปัจจุบันแต่มีการปรับเปลี่ยนไปตามแนวทางของกลุ่มชื่อว่า '' M.Zaw pad 28" ทั้งนี้ผู้เขียนขอยืนยันว่าคนทั้ง2กลุ่มคือบุคคลกลุ่มเดียวกัน แต่ต่างยุคสมัยเท่านั้นเอง
ขอบคุณจากใจ
เตี้ย

วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2556

มิตรภาพคืออะไร

สังคมลูกทหาร



ภาพเด็กชายและเด็กหญิง จูงมือกันถ่ายภาพอมยิ้มอย่างไร้เดียงสา มองอย่างไรเด็กสองคนนี้ก็มีความสุขสุดๆ พ่อแม่ของเขาทั้งคู่จัดฉากทั้งมุมกล้องและสถานที่ให้อย่างพิถีพิถันเท่าที่จะทำได้  ว.8 ตัวหนังสือข้างเสาไฟฟ้าคือชื่อหน่วยงานที่พ่อของเราทั้งคู่ทำงานรับราชการทหารอยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์  แบล็คกลาวที่มองเห็นต้นกล้วยคือภาพที่คุ้นหูคุ้นตาในยุคนั้นคือต้นกล้วยและกล้วยมีประโยชน์มากที่สุดในเวลานั้นเท่าที่ผมจำได้  ผมเชื่อว่ายุคนั้นกล่วย 1 เคลือมีประโยชน์ใช้ให้ท้องอิ่มได้ อีกทั้งดัดแปลงเป็นขนมแบบไทยๆ  ที่เด็กๆทุกคนคงปฎิเศษความอร่อยได้ยาก   บางครั้งยังคิดตลกๆว่าทำไม pizzaaaa .... ไม่ทำขอบชีตหน้ากล้วยปวดชี!   ซะด้วยซ้ำการที่เราเติบโตด้วยกันมาผมเชื่อว่าบางครั้ง ผมอาจจะเคยเห็น ก้น เด็กผู้หญิงคนนี้ซะด้วยซ้ำเพราะฉนั้นผมรับประกันได้เลยว่าเราต้องเคยผ่านวีรกรรมและมีความสนิทสนมด้วยกันมาไม่มากก็น้อยถึงแม้ตอนนี้อดีตเหล่านั้นจะเลอะเลือนจางๆลงตามกาลเวลาก็ตาม   แน่นอนถึงเวลาที่พวกเราต้องเติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาว  จากภาพถ่ายจนอายุ 17ปีที่เติบโตด้วยกันมา   ในความคิดของผมๆคิดว่าความหวงแหนอาทรมันยึดติดคำว่าพวกพ้อง พี่หวงแหนน้อง น้องเป็นห่วงพี่   หลายครั้งที่มีหนุ่มๆมาติดพันสาวๆในกลุ่มรับรองได้ว่าพวกเรา พี่ดี้ พี่โจ๊ก และผมมีความรู้สึกหวงแหน   หรือหากรู้ว่าเด็กสาวในรูปถูกเทะโลม ถูกขายขนมจีบจากหนุ่มนอกสังกัดหรือนอกกลุ่ม   บรรดาผู้ชายในกลุ่มหลายๆคนจะต้องแสดงกิริยาปกป้องบางอย่าง   จนบางครั้งพวกเราออกลูกเกเรกับไอ้หนุ่มที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับสาวๆในกลุ่มของพวกเราซะด้วยซ้ำ  ยิ่งเป็นเด็กสาวในรูปพี่ๆ และเพื่อนๆทุกคนรักและหวงแหนมากเป็นพิเศษ  (ถึงแม่ว่าสาวเจ้าจะเป็นใจกับเขาก็ตาม)  เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ เด็กสาวในรูปแต่งงานและจัดงานแต่งที่ร้านอาหารบรรยากาศ ชิวๆ ติดริมทะเลชายหาดผมก็มีโอกาสได้ไปงานวันนั้นกับน้องๆในค่ายทหารอีกหลายคน  ในระหว่างที่ผมกำลัง(ขมี ขมัน)กระดกเหล้าแบร็คที่เสริฟแบบประหยัดๆแก้วต่อแก้วโดยเด็กเสริฟจากทางร้านคงเป็นเทคนิคตัดกำลังแขกที่คิดจะโขมยเหล้ากลับบ้านอย่างแน่นอน   ผมดูแล้วรู้สึกไม่ทันใจและขัดใจนักดื่มเป็นอย่างยิ่ง              สักพักเสียงเฮฮาหนวกหูๆดังออกมาจากเวทีในงานกระทบหูผมเข้า  อาโต๊ดญาติเจ้าสาววิ่งตาตื่นมาทางผมซึ่งผมนั่งอยู่โต๊ะนอกสุดติดชายทะเล  อาโต๊ดตะโกนโหวกเหวกแกบอกผมว่ารูปผมที่ถ่ายกับเจ้าสาวตอนเด็กๆฉายอยู่ในไสล์ตอนทำพิธีงานแต่ง    พักเดียวเสียงแหลมๆของเจ้าสาว ซึ่งผมมองว่าเจ้าสาวเธออาจจะเมามากหรืออาจจะเป็นมุขเล่นตลกให้แขกในงานฮาเล่นๆเพื่อสร้างสีสันวันความสุขของเธอ    มีเสียงประกาศออกไมค์อธิบายภาพในรูปว่า   ''เด็กหนุ่มในรูปคือแฟนของเจ้าสาวตอนอนุบาล''    หลายสายตาจับจ้องมาที่ผม  ตอนนั้นผมก็ไม่ได้สนใจอะไรและรับรู้อะไรมากเพราะผมเมา    จะโทษก็ตรงอาโต๊ดญาติฝ่ายเจ้าสาว    ผมถามหน่อยเถอะว่าแขกในงานจะรู้ไหมว่าไอ้เด็กในไสล์เป็นผมถ้าอาโต๊ดไม่วิ่งตาตื่นและตะโกนเรียกผมอย่างเสียงดัง!55555  แกมาบอกอะไรฉันตอนนี้ อิๆๆ(ฉีกมุมแม่งเลย)ปล.หากมีโอกาสเจอกันอีก รบกวนของ Back แบบเต็มๆขวดพร้อมโซดาตั้งไว้ให้กินอิ่มๆน๊ะอีกเรื่องไสล์งานแต่งไม่เห็นจริงๆ เพราะเมาหรือว่าอาโต๊ดอำเล่นก็ไม่รู้ แต่งเอาเรื่องมาเขียนในบล็อกแล้วก็เลยตามเลยล่ะกันเพื่อความบันเทิงในกลุ่มเด้อคิดถึงเพื่อนและพี่น้องทุกคนเสมอมค.57 เจอกัน

วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2556

มันบอกมันคือแดงใบเล่



ครั้งหนึ่งภาพยนต์เรื่อง 2498 อันตพาลครองเมือง ออกอากาศ ทำให้พวกเราคล้อยตามการแสดงของตัวละคร  จนเป็นที่จับจองฉายาของตัวเอกของเรื่องและตัวรองของเรื่อง เอาแบบว่าใครจองก่อนได้ก่อนก็ว่าได้

แต่เด็กหนุ่มผู้ชายในภาพซึ่งกำลังจะเป็นเจ้าบ่าวในอีกไม่นานนี้ ได้ชื่อและฉายาว่าแดงใบเล่  ไม่รู้ว่ามันใช้อำนาจเบ่งกล้ามแย่งใครในกลุ่มมาหรือเปล่าแต่แล้ว ทุกคนก็รู้จักและยอมรับในฉายาของเขา  พอเรียกชื่อนี้ทุกคนจะร้อง ''อ๋อ''  และรู้ว่าหมายถึงใคร

ส.ท. สิิทธิพงษ์ ศรีเกษม  เด็กหนุ่ม camp boy ที่ถูกฝึกงานมาจากรุ่นพี่ในแก็งจนเป็นที่ยอมรับว่าสามารถขึ้นชั้นได้  บางเรื่องสามารถแสดงออกทางลีลาและอารมณ์ได้ดีกว่ารุ่นพี่ด้วยซ้ำ  เมื่อเยาว์วัยเขาทำให้พ่อแม่ของเขาต้องวิตกกังวลในตัวเขาเสมอ  กิริยาเกเร  เกเรียน  เหลวไหลสาระพัด กับเป็นบทเรียนและเป็นคุณครูสอนวิชาทางโลกและการใช้ชีวิตในยามคับขันได้เสมอ  ผมจึงอยากบอกว่า กฎเกณฑ์และความเป็นจริงมันไม่แน่นอนเสมอไป  หรือเรียกว่ารู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม

''เป็นเมียแดงต้องอดทน''  เป็นคำอุทานที่เขามักพูดเป็นเล่นเสมอๆ  แต่คร้้งนี้ ต้นเดือนมกราคม 2556 เขาจะเข้าสู่ประตูวิวา กับ ''น้องสาวมิ้ม'' หรือฉายาที่เธอมักจะถูกเรียกขานว่า ''อีห้อย''  ผมในฐานะผู้เขียนก็ไม่อยากจะเอาเรื่องราวของ บ่าวสาวมาแฉมากมาย  เอาแค่หอมปากหอมคอ

แล้ววันงาน meeting กัน  และหวังว่าผู้อ่านที่รู้จักผู้เขียนบทความนี้คงรู้ว่าวันนั้น ผู้เขียนต้องการอะไรจัดไว้ให้ด้วย

และนี่คือเรื่องราวเล็กๆ ว่าลูกทหารที่ผูกพันธ์กันเขาอยู่กันอย่างไร

สุดท้ายมองภาพถ่าย บ่าวสาว กูว่ามึงบ้าแดงใบเล่มากใปว๊ะ

5555





วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

อีกหนึ่งแวดวงที่เราเกิดมาอยู่ในสังคมใกล้เคียงกัน

ชมรมแม่บ้านทหารเกณฑ์
อีกไม่นานแล้วนะ ที่จะได้รับการติดต่อ ให้ไปเยี่ยมพลทหารใหม่ ก่อนอื่นขอแนะนำให้ เตรียมผิว เตรียมดูแลสุตัวเขภาพอง เพื่อไปเจอเค้าเลยนะ มีครีม มีอาหาร มีวิธีดูแลตัวเองอย่างไง ก้อแวะมาแชร์กันนะคะ


นี่คือหนึ่งเสียง สะท้อนของความคิดถึงและเป็นห่วง

วันนี้นั่งอ่านบทความทางโลกออนไลน์หลายต่อหลายแขนง แต่ก็มาสะดุด เพจface book เพจนี้เข้า ไอ้ย๊ะ เจ๋งครับ ลักษณะของเพจจะถ่ายทอดส่งผ่านความคิดถึงให้กับคนใกล้ที่ไปปฎิบัติหน้าที่อยู่ที่ห่างไกล อ่านเสร็จก็พอจะรู้สึกถึงความห่วงหา และความปรารถนาที่จะได้กลับมาอยู่ใกล้กันเร็วๆ

ติดตามต่อได้ที่สมาคมแม่บ้านทหารเกณฑ์



ขอให้คนข้องหลังจงรู้ว่ามีคนคิดถึงเขาอยู่
ปล.ฝากให้กำลังใจทหารที่ทำหน้าที่อยู่ใต้ทุกนาย


ก้องกิดากร

วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ซ้อมทหารใหม่ สังคม100%มองว่าถูกรังแกทั้งหมดหรือเปล่า







Blog.ผู้ช่วยผู้ตัดสินที่1

ไปเจอบทความหนึ่ง ซึ่งน่าจะเกืียวกับพวกเราลูกทหาร  แล้วเลยอยากมาลงเผยแพร่ให้พวกเราลูกทหารและ ลูกทหารที่เป็นทหารแล้วลองวิเคราห์ดู ว่าจริงอย่างลูกทหารคนนี้ได้กล่าวไว้หรือเปล่า 


บางทีลูกทหารคนที่กำลังเขียนบทความนี้  อาจจะรู้ดีก็ได้ว่า หมู่ ทำเกินกว่าเหตุหรือเปล่า  หากยังคิดไม่ออก หรือหยุดพฤติกรรม ถ่ายคลิปเหมือนโลกจิตไม่ได้    ระวังไวรัสสายพันธ์ใหม่มันชื่อว่าไวรัส คนใจหมา  จะเข้าไปแพร่เชื้อในหัวใจคุณ

อ่านบทความต่อ>>


ถ้าถูกใจบทความกด LIKE ให้เขาด้วยน๊ะ

วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556

สุนทรี (ทางอารมณ์)


                                                       



"กิ่งไม่1กิ่งสามารถหักคนเดียวได้ แต่ถ้ากิ่งไม้หลายๆกิ่งมารวมกัน ไม่สามารถหักคนเดียวได้ ต้องช่วยกัน''

นั่นคือคำพูดของ ดญ.สุนทรี ไชยวงศ์(แวว)  ตอนอายุ10 กว่าขวบ  ปัจุบันอายุของเธอน่าจะ 34 ปีเข้าให้แล้ว  สาวเหนือ  ผิวขาว  น่าตาจิ้มลิ้ม บุคคลิกนิสัยออกไปทางเรียบร้อยคนนี้แหละ  ที่เป็นคนใช้ประโยคดังกล่าวมาสอนความสามัคคีให้พวกเรา  ก่อนจะเขียนเรื่องนี้พยายามมองรูป พี่สาว คนนี้อยู่นานว่าจะเขียนเรื่องอะไรดีแต่ดันนึกคำพูดคำนี้ขึ้นมาได้ รู้สึกว่าจะเป็นการซ้อมวิ่ง พลัด หรือวิ่งเปรี้ยว เพื่อเตรียมตัวแข่ง งานวันเด็กที่กำลังจะมาถึง พี่น้องเราหลายคนคงเคยเข้าร่วมการแข่งขันมาบ้างลองนึกดูดีๆ 

 พี่สาวถือเป็นลูกทหารรุ่นแรกๆของกลุ่ม camp boy-girl  เรื่องอายุอานามและประสบการณ์การใช้ชีวิตไม่ต้องพูดถึง  ที่ว่าไม่ต้องพูดถึงก็คือว่า  ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย  ถึงแม้สมัยก่อนจะทำงานทำการอยู่ในกรุงเทพด้วยกันแต่ก็ไม่เคยมีการติดต่อพบเจอกันซักครั้ง  

แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นตัวตนของเขาคือการบริหารและการเอาใจใส่ในการดูแลโลกส่วนตัวที่เขามีอยู่  เพราะฉนั้นหากพวกเรามีกิจกรรม หรืองานสังสรรค์ร่วมกัน  จงเตรียมพบกับปัญหาหรือหงุดหงิดเสียอารมณ์กับการเชื้อเชิญผู้หญิงคนนี้ออกมาร่วมกิจกรรม เพราะหากเขายังมีโลกส่วนตัวที่เขายังจัดการกับมันไม่สำเร็จเขาจะไม่มีวันออกจากโลกส่วนตัวตรงนั้นเด็ดขาด  อีกทั้งสไตร์ชีวิตที่ค่อนข้างปรับเปลี่ยนรูปแบบเป็นว่าเล่น  หลายปีก่อนที่เธอกลับมาเยี่ยมบ้านที่เพชรบูรณ์  ซึ่งเป็นวันที่ผมกับมาเยี่ยมบ้านเหมือนกัน ผมพบเห็นเธอในชุดนุ่งขาวห่มขาว  ดูเคร่งขลึมกับชีวิตอย่างบอกไม่ถูก  แต่ไม่ให้เป็นการละลาบละล้วงชีวิตส่วนตัวเขามากเกินไปผมจึงไม่ได้ถามอะไรมาก

มาถึงเรื่องราวในสมัยวัยรุ่นกันบ้างดีกว่า  ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนน๊ะครับ ว่าไม่รู้ตอนนี้พี่แววพี่สาวของผมเขาทำอะไรอยู่ที่ไหน  ที่ต้องออกตัวไม่ได้กลัวเรื่องอะไรหรอกครับ  แต่ที่กลัวอย่างเดียวคือถ้าพี่เขาบวชชีอยู่แล้วผมจะไปเขียนเรื่องราวเผาแกก็คงไม่ได้เพราะถือว่าเขาละทางโลกไปแล้ว  เพราะฉนั้นหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเธอคงไม่ได้เป็น แม่ชี อยู่ในตอนนี้ ไม่งั้นผมอาจจะปาบเพียงเพราะเขียนบล็อก เล่าเรื่องให้ทุกๆคนอ่าน
ตามภาษาวัยรุ่น    วัยรุ่นมุ่งเลือกคู่   เป็นธรรมดาที่ในกลุ่มของพวกเราจะมีการ ปิ๊งปั็งกันเองภายในกลุ่มบ้าง  ถึงจะเกิดและคลานตามกันมาก็ตาม  แต่ส่วนมากมักจะเป็นรักกันข้างเดียวซะมากกว่า  เช่นเดียวกับท่านผู้นำของกลุ่มที่ต้องการให้จัดทำบล็อกนี้ขึ้น   พี่โจ๊ก  แววตาเป็นประกายของหนุ่มร่างอ้วน ชอบมองพี่สาวแววซะเหลือเกิน  พี่โจ๊กแกก็ดีน๊ะ  แกเป็นคนพูดตรงๆ  แกบอกพี่ แวว ไปหลายครั้งแล้วว่าชอบแต่คำตอบที่ได้รับมักตรงข้ามกับคำตอบที่แกอยากได้ยินเสมอ  ''บ้าไอ้โจ๊ก เราเพื่อนกัน''
นั่นคือการปฎิเศษความรักกับ  ท่านผู้นำของเรา   มองถึงความเป็นไปได้ในสังคมลูกทหาร   ที่โตด้วยกันมาโอกาสน้อยมากที่จะลงเลยใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน ผู้ใหญ่หลายท่านมักบอกไว้อย่างนั้น   ไม่เพราะไร  จีบกันไม่ติดก็ไม่เป็นไร  ถือเอาว่าเป็นการฝึกฝนวิชาก็แล้วกัน แต่วิวัฒนาการมันเปลี่ยนไป รู้สึกว่ากลุ่มที่สืบทอด CAMP BOYต่อจากพวกเรา คือกลุ่ม ม้าซาวแปด ได้ข่าวมาว่ามีกิ๊ก กั๊กกันอยู่ 2 คู่น๊ะ รู้สึกฉายามันจะใช้คำว่าดำ เอสโซ่หรืออะไรนี่แหละ  ถ้ามีโอกาสไปเพชรบูรณ์จะไปสอบถามความจริงด้วยตัวเองเลย   ต่อเรื่องพี่โจ๊กในปัจจุบันพี่โจ๊กของพวกเราก็มีครอบครัวและมีลูกสาวที่น่ารักไปแล้ว

น่ารัก ตาหวานเอาการเลยทีเดียว  แต่ตอนนี้เขียนไปเขียนมาพึ่งนึกได้ว่า กูจะทำให้พี่โจ๊กโดนภรรนาที่บ้านสวดยับหรือเปล่าว๊ะเนี่ย   เกิดแฟนเขาอ่านเรื่องราวในบล็อกนี้แล้วหึงขึ้นมาจะทำอย่างไร   ผมจะบอกว่าพี่ก็ช่วยตัวเองไปล๊ะกันผมมีน่าที่เขียนบล็อกผมก็เขียน  และผมต้องถ่ายทอดเรื่องจริงไม่ใช่นั่งเทียนเขียนน๊ะพี่  ผมไปล๊ะ!


นี่แหละครับมิตรภาพตอนเด็ก  ของพวกเราพอจะถ่ายทอดเรื่องราวของลูกทหารไว้ได้บ้างว่าเขาอยู่กันอย่างไร หรือเปล่าครับ

สุดท้ายไปสืบให้ที ว่า สุนทรี ไชยวงษ์  (พี่แวว) เขาบวชชีอยู่ที่ไหนหรือเปล่า คริๆ





ใครอยากมีเสื้อคู่ ครอบครัว เข้าไปดู



เรื่องโดย
สิทธิชัย..






วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ลูกทหารต้องมีวินัย (โม้เปล่า)





มาลองเปรียบเทียบกันดูว่าเราลูกทหาร จะถูกเลี้ยงดูมาอย่างเด็ก ญี่ปุ่นที่เขาบอกว่า มีวินัยดีที่สุด! ประเทศหนึ่งหรือเปล่า




คนญี่ปุ่นเขาเลี้ยงลูกกันอย่างไร
ประเทศมหัศจรรย์

รู้สึกแปลกใจและทึ่งเหมือนผมไหมครับ... เวลาเราพูดถึงประเทศมหัศจรรย์ประเทศหนึ่งซึ่งเป็นประเทศที่แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างยับเยิน โดนระเบิดปรมาณูถึง 2 ลูก บ้านเมืองและเศรษฐกิจพังพินาศ แต่ปัจจุบันประเทศนี้กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว และเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่มีรายได้ประชาชาติ (GDP) สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองแต่เพียงประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ทราบแล้วใช่ไหมครับว่าประเทศนั้นคือประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง ผมเคยสนใจเก็บข้อมูลเรื่องนี้มานานแล้วครับว่าคนญี่ปุ่นนั้นเขาเลี้ยงลูกอย่างไร หรือเขามีลักษณะพิเศษต่างจากชนชาติอื่นอย่างไร ทำไมใช้เวลาเพียง 20-30 ปี ฟื้นฟูและพัฒนาประเทศได้รวดเร็วขนาดนี้ ทุกวันนี้เราก็ขับรถญี่ปุ่น เครึ่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อีเลคทรอนิค คอมพิวเตอร์มือถือ กล้องดิจิตอลก็ของญี่ปุ่น ร้านอาหารญี่ปุ่นก็ขายดี ร้านขนมญี่ปุ่นก็ขายดี เด็กๆ ของเราก็ติดภาพยนตร์หรือการ์ตูนญี่ปุ่นกันงอมแงม ญี่ปุ่นมีอะไรดีเกี่ยวข้องกับเชื้อชาติ วัฒนธรรม ความเชื่อ การเลี้ยงดู และระเบียบวินัยหรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เหตุผลที่ผมต้องมานำเรื่องนี้มาพูดคุยก็เพราะมีแรงจูงใจครับ คือเมื่อไม่นานมานี้ผมได้มีโอกาสดูแลเด็กญี่ปุ่นคนหนึ่งที่โรงพยาบาลเอกชน เด็กคนนี้เป็นออทิสติกครับ ค่อนข้างซนอยู่ไม่นิ่ง เขาเดินเข้าไปที่อ่างน้ำล้างมือของห้องตรวจโรค ปิดฝาระบายน้ำแล้วเปิดน้ำเล่นจนเกือบล้น พอดีคุณแม่ชาวญี่ปุ่นเหลือบไปเห็นเข้า เธอมีท่าทีตกใจและเกรงใจผมมากรีบพูดขอโทษ "sorry ...sorry ..sorry" (นึกภาพท่าทาง เวลาเราเห็นคนญี่ปุ่นขอโทษในโทรทัศน์ประกอบไปด้วย) ลักษณะที่แสดงออกบ่งบอกความเกรงใจเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่งเกินกว่าชนชาติ (ดูเหมือนโอเวอร์ก็ว่าได้) แต่เขาไม่ได้แกล้งทำครับ เพราะตรงกับที่พยาบาลและเจ้าหน้าที่ที่โรงพยาบาลบอกเล่าว่าคนไข้ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่น่ารักคือจะมีระเบียบวินัยดีมาก เวลานัดหมายก็มักมาตรงเวลา ถ้าจะผิดนัดหรือติดธุระก็จะโทรศัพท์มาเลื่อนล่วงหน้าพร้อมกับขอโทษ (ปกติเจ้าหน้าที่ต้องเป็นฝ่ายโทรศัพท์ไปตาม)

วินัยของคนในชาติ

วินัยของคนในชาติสะท้อนออกมาผ่านวินัยจราจร ใครเคยไปประเทศญี่ปุ่นคงเห็นความมีวินัยของคนญี่ปุ่นที่เข้าแถวรอขึ้นรถไฟใต้ดินตรงเส้น ถ้าเราไปออกนอกแถวที่เข้าคิว (เป็นเส้นด้านข้างไม่ใช่ล้ำเข้าเส้นอันตรายหน้าแถวนะครับ) เราจะถูกเจ้าหน้าที่เข้ามาเตือนให้อยู่ตรงแถวทันที ทุกคนเข้าแถวตรงเป๊ะ วินัยจราจรบนถนนดี เยื่ยม ไฟเขียวไฟแดงและทางม้าลายของเขาศักดิ์สิทธิมาก (เช่นเดียวกับประเทศสิงคโปร์) ถ้าใครเคยไป เวลาจะข้ามทางม้าลาย สี่แยกจะเห็นว่าแค่ไฟ เหลืองเท่านั้น ทุกอย่างสงบนิ่ง คือรถจอดสนิท ต่างจากบ้านเราข้ามทางม้าลาย แท้ๆ รถบางคันวิ่งมาไม่ยั้งแถมยังเปิดไฟสูงบีบแตรไล่ (ถ้าจะข้ามถนนก็ต้องวัดดวงวัดใจคนขับกันหน่อย) หรือไฟเหลืองก็ หมายถึงให้เหยียบคันเร่งรีบไปเพื่อให้พ้นไฟแดง ใครหยุดที่ไฟเหลืองอาจถูกคนที่นั่งข้างๆ ต่อว่าว่า "หยุดทำไม จะบ้าหรือเปล่า ทำไมไม่รีบไป" ดังนั้นวินัยของคนในชาติเป็นเรื่องดีแน่ไม่ต้องสงสัย เพราะทำให้คนเราอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสงบสุข นอกจากนี้เราคง เคยได้ยินกิตติศัพท์ของคนญี่ปุ่นในเรื่องการเอาจริงเอาจัง ความรับผิดชอบ และความจงรักภักดีต่อองค์กรและประเทศชาติสูงมาก ซึ่งมีส่วนทำให้พัฒนาประเทศได้รวดเร็ว

ลักษณะพิเศษของครอบครัวญี่ปุ่น

เราคงเคยได้ยินกันมาแล้วว่าครอบครัวญี่ปุ่นนั้นสามีเป็นใหญ่คล้ายสังคมจีน ผู้ชายนั้นมักมีภาระงานมาก และคนญี่ปุ่นก็เป็นคนเอาจริงเอาจังกับงานมาก หลังเลิกงานแล้วก็จะต้องออกไปสังสรรกับลูกค้าจนดึกดื่น ดังนั้น ผู้หญิงจึงมีหน้าที่หลักในการดูแลบ้าน สามีและลูก เป็นเรื่องแปลกที่ผู้หญิงญี่ปุ่นส่วนใหญ่เองก็ยอมรับสภาพนี้ด้วยความเต็มใจ เคยดูสารคดี เป็นเรื่องของแม่บ้านชาว ญี่ปุ่น ซึ่งมี การศึกษาสูงเป็นเภสัชกร เธอจะทำงานเพียงแค่ช่วงเวลาบ่าย 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น ที่เหลือเธอเอาเวลามาทำ หน้าที่เป็นแม่บ้านหมดอย่างเต็มใจ และตั้งอกตั้งใจ

แผ่นดินไหว พายุไต้ฝุ่น และพ่อ
แผ่นดินไหว พายุไต้ฝุ่น และพ่อเป็น 3 สิ่งที่เด็กญี่ปุ่นกลัวที่สุด สุภาษิตโบราณของชาวญี่ปุ่นคงพอจะสะท้อนหน้าที่สำคัญของพ่อได้ ถึงแม้พ่อจะไม่ค่อยมีเวลาให้ลูก แต่ทำหน้าที่สำคัญในการควบคุมกฎเกณฑ์ระเบียบวินัยของลูก ซึ่งน่าจะมาจากสภาพสังคมชาวญี่ปุ่นสมัยโบราณที่ผู้ชายเป็นผู้นำของสังคม พ่อบ้านในฐานะเป็นผู้นำของครอบครัว จึงมีบทบาทอย่างมากในการควบคุม กฏเกณฑ์ ระเบียบวินัยในบ้าน จนทำให้ลูกรู้สึกกลัวในฐานะเป็นภัยอันตรายใกล้ตัวที่สุด (ถ้าทำสิ่งไม่ถูกต้อง)

ความแตกต่างของคนญี่ปุ่นจากชนชาติอื่น


มีงานศึกษาวิจัยที่น่าสนใจมากเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสังคม และวัฒนธรรมที่มีต่อพฤติกรรมก้าวร้าวของคน (Landau, 1984) และเกี่ยวข้องกับคนเชื้อชาติญี่ปุ่นที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่ เขาทำการศึกษาความเครียดที่เกิดขึ้นในสังคมว่าจะสัมพันธ์กับพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงของคนในสังคมหรือไม่ เขาใช้อัตราของครอบครัวที่มีปัญหาหย่าร้างต่อครอบครัวที่ชีวิตสมรสราบรื่นเป็นตัวบอกถึงความเครียดในสังคม นั่นหมายความว่ายิ่งใน สังคมของประเทศใดมีอัตราที่ว่านี้สูง สภาพครอบครัวย่อมไม่มั่นคง เมื่อคนใน ครอบครัวมีความเครียดก็มีผลทำให้ความเครียดในสังคมสูงตามไปด้วย จากการศึกษานี้พบว่าประเทศใดที่มีสภาพสังคมที่มีความตึงเครียดสูงก็จะมีอัตราของอาชญากรรมและการทำร้ายผู้อื่นสูงตามไปด้วย อธิบายให้ง่ายๆก็คือเมื่อคนเราเครียด ความก้าวร้าวรุนแรงก็จะพุ่งไปสู่คนอื่น (ตัวอย่างเช่น สภาพสังคมของคนอเมริกันที่มีอัตราการหย่าร้างสูงก็จะมีความก้าวร้าวรุนแรงในสังคมสูง) จากทั้งหมด 12 ประเทศที่ทำการศึกษาพบว่ากฏเกณฑ์นี้ เป็นกับทุกประเทศ ยกเว้นอยู่ประเทศเดียวที่ไม่เป็นไปตามกฏเกณฑ์นี้ คือ ประเทศญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนญี่ปุ่นไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย เพียงความตึงเครียดในสังคมกลับไปสัมพันธ์กับอัตราการฆ่าตัวตายที่สูงขึ้นแทน พูดง่ายๆ อีกครั้งก็คือเมื่อเกิดความตึงเครียดแล้ว แทนที่ความก้าวร้าวรุนแรงจะพุ่งออกไปโดยการทำร้ายผู้อื่นกลับพุ่งย้อนกลับเข้าหา ตัวเองโดยการฆ่าตัวตายแทน ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่อัตราการฆ่าตัวตายสูงมากติดอันดับโลก เราคงเคยได้ยิน ข่าวเกี่ยวกับนักเรียนมัธยมปลายของญี่ปุ่นที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้แล้วตัดสินใจฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เขาอธิบายปรากฎการณ์นี้ว่าเกิดขึ้นเพราะวัฒนธรรมของชนชาติญี่ปุ่นมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีสูงมาก มีความละอายต่อความผิดพลาดและการทำผิดของตน (felling of shame for moral transgression)

ฮาราคีรีและกามิกาเซ่

ลองนึกย้อนถึงประวัติศาสตร์ของชนชาติญี่ปุ่นจะเห็นด้วยกับแนวคิดของงานวิจัยที่ได้กล่าวมาแล้วนั่นคือ เรื่องราวของฮาราคีรีและกามิกาเซ่ ในอดีตเวลาซามูไรซึ่งเป็นนักรบของญี่ปุ่นพ่ายแพ้ต่อศัตรู เขาจะทำพิธีฮาราคีรีโดยการใช้มีดคว้านท้องตัวเองเพื่อฆ่าตัวตาย เพราะละอายต่อความผิดพลาดของตัวเอง ไม่มีหน้า ไม่มีศักดิ์ศรีพอที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นต่อไป และการทำพิธีนี้ก็จะทำให้ซามูไรได้ตายอย่างสมศักดิ์ศรีและได้รับเกียรติอย่างสูง การฮาราคีรีนี้ไม่เคยพบในชนชาติอื่น ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงที่กองทัพญี่ปุ่นกำลังจะพ่ายแพ้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตร ทหารญี่ปุ่นใช้ปฏิบัติการกามิกาเซ่โดยขับเครึ่องบินรบที่สมรรถนะด้อยกว่าพุ่งเข้าชนข้าศึก สร้างความเสียหายให้กองทัพอเมริกันเป็นอย่างมาก เพราะรู้ว่าถ้ารบกันตัวต่อตัวก็แพ้เครื่องบินรบอเมริกันแน่ กามิกาเซ่แสดงออกถึงความกล้าหาญ รักชาติ และเสียสละของคนญี่ปุ่น แต่อย่างไรก็ตามนั่นก็คือรูปแบบหนึ่งของการฆ่าตัวตาย

คติสอนใจในภาพยนตร์ญี่ปุ่น

ใครเคยนั่งดูหนังการ์ตูนกับลูกหรือนึกย้อนไปในวัยเด็ก เด็กผู้ชายทุกวันนี้ดูภาพยนตร์หรือการ์ตูนเรื่องเดียวกับที่คุณพ่อดูเมื่อ 20-30 ปีก่อน เช่น อุลตราแมน ไอ้มดแดง หน้ากากเสือ หนังการ์ตูน ญี่ปุ่นมักมีคติธรรม สอนใจ ให้ต่อสู้อดทน ไม่ย่อท้อ (ถึงแม้ว่าจะเป็นการต่อสู้กับสัตว์ประหลาด) เช่น ช่วงสุดท้ายของแต่ละตอนก็มักจะมีคำพูด ปลุกใจให้ต่อสู้เช่น "สู้เขาต่อไปไอ้มดแดง (เพื่อผดุงคุณธรรม)" นอกจากนี้มักเน้นการยอมลำบาก เสียสละเพื่อส่วนรวม หรือเพื่อเด็กๆ บางเรื่องเน้นความมุมานะ พากเพียร พยายามในการฝึกฝนเช่นภาพยนตร์ชุดที่เกี่ยวกับกีฬา เช่นเคนโด ว่ายน้ำ วอลเลย์บอล เราจะเห็นภาพของตัว ละครญี่ปุ่นซึ่งไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เหตุผลที่ประเทศญี่ปุ่นสร้างภาพยนตร์แบบนี้ก็เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งซึ่งทางญี่ปุ่นต้องการส่งเสริมให้เยาวชนเล่นกีฬาเพื่อแข่งขันในระดับนานาชาติ ซึ่งญี่ปุ่นก็เคยประสบความสำเร็จจนถึงระดับเจ้าเหรียญทองเป็นมหาอำนาจทางกีฬา เช่นการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์และกีฬาโอลิมปิค ภาพเหล่านี้สะท้อนวัฒนธรรม และชีวิตของคนญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี และเด็กเองก็ ซึมซับวัฒนธรรมเหล่านี้ผ่านสื่อโทรทัศน์เข้าไปโดยไม่รู้ตัว

ที่พูดคุยกันมาทั้งหมดนี้... ไม่ได้หมายความว่าเป็นญี่ปุ่นแล้วดีไปหมดทุกเรื่อง ดีไปหมดทุกคน แต่กำลังชักชวนคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกมีหลานหันมาควบคุม และสร้างกฏเกณฑ์ระเบียบวินัยให้ลูก ฝึกให้รู้จักรับผิดชอบ และช่วยเหลือตัวเองตามวัย ตลอดจนมีคุณธรรม รู้จักเสียสละเพื่อส่วนรวม เพราะเป็นเรื่องสำคัญไม่เพียงต่อตัวการดำรงชีวิต การเรียน การทำงานของลูกหลานเท่านั้น แต่สำคัญไปถึงการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข ตลอดจนถึงการพัฒนาประเทศชาติของเราเลยทีเดียว

วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เพื่อนในวัยเด็ก

เพื่อนในวัยเด็ก

ภาพลิงค์ที่แปะไว้


เพื่อนในวัยเด็ก

วันนี้ไปอ่านบทความเจออยู่บทความนึง   เป็นบทความที่ค่อนข้าง ดราม่า เขาเขียนพรรณาบรรยาย ได้อย่างซาบซึ้งน่าประทับใจ  โดยเรื่องราวเขาแสดงออกถึงความสำคัญในการมีเพื่อนในวัยเด็ก  เขาทั้งเหงาและต้องอยู่ในโลกกว้างอย่างเดียวดาย  ดูจากภาพคงสะท้อนเรื่องราวได้เป็นอย่างดี  แต่เขาก็ยังฝ่าฟันอุปสรรค์เหล่านั้นมาได้   

มองภาพนี้รู้สึกสะท้อนจิตใจเขาจุงเบย  เราอาจจะไม่รู้สึก ดารม่าเหมือนเขา เพราะเพื่อนเราเยอะ ใครไม่รู้สึก ดราม่าแต่อยากดราม่า พยายามทำตาเบลอๆ มองเหมือนภาพสามมิติ เผื่ออารมณ์ดราม่า  จะเกิดขึ้นมาบ้าง หรือไม่ก็ลองเวลาที่รู้สึกเหงาและอยากกลับบ้านเอาภาพนี้มาดู  ดราม่าแน่ๆ


รักกันเข้าไว้ Camp boy




ด่วน ลงประวัติหางานฟรี

ประกันภัยรถยนต์